ห่างหายจากการอัพบทความแกรมม่าร์ไปพักนึงเลย รอบนี้เรากลับมาต่อจาก Present Continuous Tense กัน โดยจะพูดถึง Present Perfect Tense ที่เป็นรูปแบบประโยคที่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเท้นส์ที่ใช้กันบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน และยังสามารถพบเจอได้ในการรายงานข่าว รายการวิทยุ หรือในจดหมาย ไปเริ่มต้นกันเลยดีกว่า
หลักการใช้ Present Perfect Tense
Present Perfect นั้นจะต้องใช้ verb to have แล้วตามด้วยคำกริยาช่องสาม หรือ past participle จุดประสงค์ในการใช้เท้นส์นี้มีดังนี้
1. เพื่อบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่าง
- We have lived here since 1990.
- He has left the town for 10 years.
2. เพื่อบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ระบุเวลาที่แน่นอน
ตัวอย่าง
- I have seen this movie five times.
- They have gone to Japan many times.
3. เพื่อบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กล่าวถึง แต่ช่วงเวลานั้นยังไม่สิ้นสุด
ตัวอย่าง
- I have been to cinema four time this month. (this month ยังไม่สิ้นสุด)
- She has not seen her mom today. (today ยังไม่สิ้นสุด)
4. เพื่อบอกเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไปในอดีตที่ไม่นานมานี้ โดยใช้คำว่า just เข้ามาช่วย
ตัวอย่าง
- I have just finished my internship at the company.
- He has just gone to the store.
5. เพื่อบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแต่เวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ตัวอย่าง
- She has lost her purse.
- He has started his new job.
โครงสร้างประโยคคำถาม
ประโยคคำถามสำหรับเท้นส์นี้สามารถใช้ verb to have ขึ้นต้นได้เลย และยังใช้กับ Wh- question ได้ด้วย ตัวอย่าง
- Have you visited Japan?
- Who have you been with last night?
- Has she left the building?
- Where have you left your phone?
หรือจะใช้คำว่า already หรือ yet ในประโยคคำถามก็ได้เช่นกัน ตัวอย่าง
- Why has she gone already?
- Have you called your parents yet?
สำหรับความสำคัญของเท้นส์นี้นั้นคือใช้เมื่อต้องการพูดถึงเหตุการณ์ การกระทำ หรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และเป็นเท้นส์ที่มีความสำคัญในการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เพราะรูปแบบประโยคแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน
สำหรับ Present Perfect Tense ในบทความนี้ก็จบเพียงเท่านี้ จริง ๆ แล้วก็เป็นเท้นส์ที่ไม่อยากเลย เราแค่เปลี่ยน Have/Has ให้ตรงกับประธาน ส่วนกริยาหลักนั้นก็ใช้รูป past participle ซึ่งถ้าเป็น regular verb ก็สามารถเติม -ed ต่อท้ายได้เลย ส่วน irregular verb ต้องอาศัยการท่องจำสักหน่อย แต่รับรองว่าไม่ยากแน่นอน และที่สำคัญที่สุดของการเรียนภาษาก็คือการฝึกฝน และการนำไปใช้จริง อย่าลืมเอาไปฝึกใช้กันบ่อย ๆ ล่ะ